“สิงห์โตทองไรซ์”ชง ปปช. ยกเลิกสัญญาคลังสินค้า เรียกร้องค่าเช่ารวมเสียหายกว่า 31 ล้าน
ผู้ประกอบการให้เช่าคลังสินค้า ส่งทนายยื่นเอกสารบอกเลิกสัญญาเช่าคลัง พร้อมทวงค่าเช่าและเรียกร้องค่าเสียหาย จาก อคส. หลังผิดสัญญาค้างค่าเช่า ทิ้งกองข้าวเสียที่เปิดให้เอกชนประมูลไปแล้ว แต่ขนย้ายเฉพาะข้าวดีออกไป ไม่รับผิดชอบข้าวที่ชนะการประมูลมาทั้งจำนวน ส่วนข้าวเน่าที่กองอยู่กว่า 2,000 ตันมีเจ้าหน้าที่ อคส. มาเช็คสต๊อกปีละ 2 ครั้ง และเบิกเงินค่าประกันภัยไปกว่า 10 ล้านบาท พร้อมชง ปปช. ตรวจสอบเอาผิดให้ถึงที่สุด
วันที่ 25 สิงหาคม 2566 กรณี นายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย ผู้ประกอบการ บริษัทสิงห์โตทองไรซ์ คอร์ปอเรชั่นจำกัดเลขที่ 99/1 หมู่ 2 ต.ธำมรงค์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ผู้ประกอบการให้เช่าคลังสินค้า ออกมาร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน โดยอ้างถึงองค์การคลังสินค้า ทิ้งกองข้าวเน่าคาอยู่หน้าบริเวณคลังสินค้าจำนวน 20,000 กระสอบ หรือ 2,000 ตัน แม้จะส่งเอกสารบอกกล่าวไปหลายครั้ง แต่ก็ไร้การรับผิดชอบทำให้โรงสีนั้นกระทบต่อภาพลักษณ์และธุรกิจการค้า
ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2566 ทางบริษัทสิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่นจำกัด ได้ส่งทนายยื่นเอกสารบอกเลิกสัญญาการเช่าคลังและยังให้องค์การคลังสินค้านั้น ชำระค่าเช่าและค่ากรรมกรขนถ่ายค้างชำระและให้ชำระค่าเสียหายในการขาดประโยชน์พื้นที่ใช้สอยให้กับทางบริษัท โดยบอกเลิกสัญญาเช่าคลังสินค้าหลัง A1 ซึ่งค้างชำระค่าเช่าพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,039,885.20 บาท และค่ากรรมกรขนถ่ายค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดเป็นเงินจำนวน 1,957,183.14 บาท และให้องค์การคลังสินค้าชำระค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์จากการใช้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นค่าเสียหายจำนวน 24,840,000 บาท รวมค่าเช่าคลังสินค้าเอ 1 ค้างชำระค่ากรรมกรขนถ่ายค้างชำระและค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในการใช้พื้นที่เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 31,837,068.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ดังกล่าว โดยให้นำมาชำระแก่บริษัทสิงโตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่นจำกัด ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่องค์การคลังสินค้าได้รับหนังสือฉบับนี้หากพ้นระยะดังกล่าวแล้วองค์การคลังสินค้าเพิกเฉยอยู่อีก บริษัทสิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่นจำกัด มีความจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย เจ้าของผู้ประกอบการให้เช่าคลังสินค้าเปิดเผยว่าข้าวสารคลังที่ A1 จำนวนกว่า 38,000 ตันนั้น องค์การคลังสินค้าได้ย้ายบางส่วนออกมากองอยู่หน้าคลังประมาณ 400 ตัน ตั้งแต่ปี พ.ศ 2558 องค์การคลังสินค้าและเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ต้องมาดูแลรักษาคุณภาพข้าวสารให้มีสภาพที่ดีไม่ให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแต่กลับปล่อยปละละเว้นไม่มาดูแลแต่อย่างใดเป็นระยะเวลานานกว่า 8 ปี ทำให้ข้าวนั้นเกิดความเน่าเสียหายมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท
ส่วนสาเหตุที่ข้าวถูกกองอยู่หน้าคลังนั้น เนื่องจากผู้ประกอบการให้เช่าคลัง สำหรับเก็บข้าวในโครงการรับจำนำข้าวในสมัย นางสาว“ยิ่งลักษณ์” เป็นรัฐบาล เมื่อปี 2557 และ เมื่อปี 2558 เดือนพฤษภาคม ได้เกิดไฟไหม้ขึ้นในในคลังสินค้าทางองค์การคลังสินค้าได้มาขนย้ายข้าวออกจากคลังประมาณ 4,000 ตันหรือ 4 หมื่นกระสอบ และมีข้าวที่เสียหายจากไฟไหม้และมีข้าวเปียกน้ำจากการดับเพลิงรวมอยู่ด้วย ทางบริษัทได้ทำหนังสือถึงองค์การคลังสินค้าหลายฉบับด้วยกัน ให้มาขนย้ายข้าวสารหน้าคลังสินค้าแห่งนี้เข้าไปเก็บภายในคลังสินค้าที่เกิดไฟไหม้เดิม แต่องค์การคลังสินค้าได้บ่ายเบี่ยงตลอดเวลาและไม่เคยมาสนใจทิ้งข้าวจำนวนนี้ไว้ที่หน้าคลังเช่ามาจนถึง ปี 2563 องค์การคลังสินค้าได้ประกาศขายเปิดประมูลเป็นข้าวพลังงาน เอกชนผู้ชนะการประมูลได้ขนย้ายข้าวออกเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2563 คงเหลือข้าวอีกประมาณ 20,000 กระสอบหรือ 2,000 ตัน ซึ่งทางบริษัทได้ติดต่อประสานงานไปยังองค์การสินค้าอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ได้รับข้ออ้างบ่ายเบี่ยงว่าไม่ใช่ข้าวขององค์การคลังสินค้า แต่ส่งเจ้าหน้าที่เช็คสต๊อกข้าวคงเหลือประจำปี ปีละ 2 ครั้ง คืองวดมีนาคม และงวดกันยายน และยังเปิดเผยอีกว่าในกรณีเหตุเพลิงไหม้ทาง องค์การสินค้าได้เบิกค่าสินไหมประกันภัย เป็นจำนวนเงินกว่า 10 ล้านบาทไปแล้วด้วย ก็ยังไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นซากของประกันภัย ส่วนไหนเป็นข้าวของ อคส. ที่ผู้ซื้อยังไม่มาขนย้ายออกไป
นอกจากนี้ในกรณีดังกล่าวทางบริษัทสิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่นจำกัด ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายไปยัง สำนักงาน ปปช.จังหวัดกำแพงเพชร เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 คดีอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ขององค์การคลังสินค้าต่อไป