โรงสีสิงห์โตทอง ร้องสื่อ ทวง อคส.ค่าเช่าคลังกว่า 3 ร้อยล้านบาท พร้อมให้ย้ายข้าวเสีย 8 ปีออกจากคลังสินค้า
โรงสีสิงห์โตทอง ร้องสื่อ อคส.ค้างค่าเช่าคลังกว่า 336 ล้านบาท กระทบขาดทุนหมุนเวียน ยังไม่พอขอให้ขนข้าวเสียผ่านประมูลแล้ว 8 ปี กองทิ้งหน้าคลังออกจากพื้นที่บริษัทฯ
วันที่ 8 มีนาคม 2566 เวลา 15.00 น. นายมนต์ชัย รุ่งชาญชัยประธานบริษัทสิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่นจำกัด แถลงสื่อว่าได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้งขอความเป็นธรรมในกรณีสัญญาเช่าคลังสินค้าตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2554 /2555 , นาปรัง 2555 , นาปี 2556 กับบริษัทสิงห์โตทองไรซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 111 ม.2 ถ.พหลโยธิน ตำบลธำมรงค์ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร โดย องค์การคลังสินค้ากระทรวงพาณิชย์ (อคส.)ได้ทำไว้กับทางบริษัทเพื่อใช้พื้นที่เก็บรักษาข้าวสารตามโครงการรับจำนำ จำนวน กว่า 5 ล้านกระสอบ
ทั้งนี้องค์การคลังสินค้าจะต้องจ่ายค่าเช่าตามจำนวนข้าวสาร ที่นำมาเก็บจริงในอัตรากระสอบละ 2 บาทต่อเดือน ที่ผ่านมาทางองค์การคลังสินค้า ได้ทำการจ่ายเงินค่าเช่าตามข้อตกลง ซึ่งบริษัทได้รับค่าเช่าจากองค์การคลังสินค้า ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2562
อคส.มิได้ดำเนินการจ่ายค่าเช่า ตามข้อตกลงตามสัญญา ปัจจุบันองค์การคลังสินค้ายังคงค้างค่าเช่า จำนวนกว่า 336 ล้านบาท และตามบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญาขององค์การคลังสินค้า กรณีการจ่ายเงินค่าใช้จ่ายต่างๆตามโครงการรับจำนำของรัฐบาลว่า องค์การคลังสินค้าจะทยอยจ่ายค่าเช่า คลังสินค้าและค่าใช้จ่ายต่างๆตามงบประมาณที่ได้รับจากรัฐบาล ให้กับบริษัทสิงห์โตทองไรซ์ คอร์ปอเรชั่นจำกัด ให้แล้วเสร็จไม่เกิน 30 วัน
สำหรับกรณีค่าใช้จ่ายที่ยังคงค้างจ่ายคงเหลือ องค์การคลังสินค้าจะจ่ายหลังจากที่ได้ประมาณจากรัฐบาลแล้วให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วันหลังจากที่ได้รับงบประมาน และนอกจากนั้นยังยินยอมให้บริษัทสิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่น จำกัด สามารถยึดหน่วงสินค้าในคลังได้ หากองค์การคลังสินค้าผิดนัดผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ให้แก่บริษัทฯ จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงกับสัญญาที่ผิดนัดมาเป็นเวลาหลายปี ตนเองจึงเรียกร้องเพื่อขอความเป็นธรรมในกรณีการจ่ายค่าเช่าคลังสินค้าของตน ที่คงค้างอยู่จำนวนกว่า 336 ล้านบาท
นอกจากนั้น ตนเองยังต้องการให้องค์การคลังสินค้า ดำเนินการขนย้ายข้าวสารตามสัญญาเช่าคลังสินค้าในคลังหลังที่ A1 ซึ่งองค์การคลังสินค้าได้เปิดประมูลขายข้าวสารในสต๊อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ เมื่อปี 2562 โดยบริษัทผู้ชนะการประมูลเริ่มขนย้ายข้าวสารออก เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 จนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 โดยยังคงเหลือข้าวสารบางส่วนประมาณ 2 พันตัน ทิ้งไว้ที่หน้าคลังสินค้า เป็นเวลานานถึง 8 ปี
กองข้าวดังกล่าวกระทบสิ่งแวดล้อม ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ต่อความเชื่อมั่นขต่อบริษัทฯ ทาง บริษัทสิงห์โตทองไรซ์คอร์ปอเรชั่นจำกัด ผู้ให้เช่าคลังสินค้าขอให้ อคส.ผู้เช่าคลังสาินค้า เร่งมาดำเนินการขนย้ายข้าวสารจำนวนนี้ออกจากพื้นที่บริษัทโดยด่วน ทั้งนี้ทางบริษัทฯได้ทำหนังสือแจ้งถึงองค์การคลังสินค้ามาตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันถึง 8 ฉบับด้วยกัน
ขณะเดียวกันในวันนี้นายสุรเดช ยูนุช อายุ 59 ปี ผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าวบริษัทยูนิตี้พร้อย เปิดเผยว่าตนได้เป็นตัวแทนบริษัทในการควบคุมการออกข้าวให้กับบริษัทผู้ได้รับการประมูลภายในคลังสินค้าสิงห์โตทองฯหลังที่ 13 เปิดเผยว่า ได้ตั้งข้อสังเกตว่าข้าวสารที่ตนเองควบคุมการปล่อยออกในวันนี้ ยังคงเป็นข้าวที่มีคุณภาพ ที่คนและสัตว์กินสามารถบริโภคได้ ไม่สมควรนำไปแปรรูปเป็นพลังงานเชื้อเพลิง ด้วยการนำไปเผา ขอความเมตาจากสื่อช่วยดูแลเราด้วย