MOU ซื้อขายผลผลิตการเกษตรเพิ่มศักยภาพสถาบันเกษตรกรอย่างยั่งยืน ปี 65/66
ธ.ก.ส.จังหวัดกำแพงเพชร , สำนักงานสหกรณ์จังหวัดกำแพงเพชร เติมทุน 1,198 ล้านบาท ยกระดับสถาบันเกษตรกร หนุนการเชื่อมโยงธุรกิจเกษตรและสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่คุณค่า
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 สำนักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดกำแพงเพชร ผนึกกำลังส่วนงานราชการ สหกรณ์การเกษตรและผู้ประกอบการในพื้นที่ดำเนินงาน เติมทุนหนุนการเชื่อมโยงธุรกิจเกษตร ยกระดับภาคเกษตรไทย ตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ผ่านโครงการจัดการผลผลิตเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรและเพิ่มศักยภาพสถาบันเกษตรกรอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด แก้หนี้ แก้จน & ก้าวพ้นวิกฤต โดยเน้นการจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกร สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตร พร้อมเติมทุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำวงเงินกว่า 1,198 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ พัฒนากระบวนการผลิตและยกระดับคุณภาพผลผลิตไปสู่การจำหน่ายสินค้าคุณภาพดีที่ตรงกับความต้องการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ
โดย นายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือการเชื่อมโยงธุรกิจสินค้าเกษตรในโครงการจัดการผลผลิตเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรและเพิ่มศักยภาพสถาบันเกษตรกรอย่างยั่งยืน
ภายใต้แนวคิด แก้หนี้ แก้จน & ก้าวพ้นวิกฤต ระหว่าง นายวิฑูร อุศรัตนิวาส รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาขาภาคเหนือตอนล่าง และ ส่วนงานราชการ สหกรณ์การเกษตรและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจเกษตรตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นในห่วงโซ่การผลิต เพิ่มศักยภาพสถาบันเกษตรกรจนไปสู่การสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน โดยมี นางผ่องศรี รวมสุข นักวิชาการชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนสหกรณ์จังหวัดกำแพงเพชร หัวหน้าส่วนราชการ และภาคีเครือข่าย ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
ธ.ก.ส.จังหวัดกำแพงเพชร และ สหกรณ์จังหวัดกำแพงเพชร เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตภาคการเกษตรมีราคาพุ่งสูงขึ้น อาทิ ปุ๋ยเคมี เชื้อเพลิง ค่าขนส่ง ทำให้เกษตรกรต้องแบกรับภาระด้านค่าใช้จ่ายครัวเรือน รวมถึงหนี้สินที่เกิดจากการลงทุน ซึ่ง ธ.ก.ส. ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าวและพร้อมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาและร่วมพัฒนาศักยภาพการผลิตในภาคการเกษตร และแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยคนในชุมชนให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างเข้มแข็ง พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่การผลิตให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตรมีรายได้อย่างยั่งยืน
โดยร่วมกับส่วนงานราชการ สหกรณ์การเกษตรและผู้ประกอบการในพื้นที่ จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งมีการผลิตพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ข้าว / มันสำปะหลัง ดำเนินโครงการจัดการผลผลิตเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรและเพิ่มศักยภาพสถาบันเกษตรกรอย่างยั่งยืน ในการเข้าไปเป็นผู้ช่วยในการจับคู่ธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ภายใต้กรอบแนวคิดการออกแบบ-การจัดการเชิงพื้นที่ แก้หนี้ แก้จน D&MBA ซึ่งเริ่มตั้งแต่การศึกษาสาเหตุ ปัญหาที่เกิดขึ้นและความต้องการเกษตรกรในพื้นที่ กำหนดแนวทางแก้ไขโดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง ประเมินความเป็นไปได้และศักยภาพของชุมชนในการขับเคลื่อนตามแนวทางที่กำหนด เน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน รวมทั้งมีภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน เครือข่ายทางสังคม ให้การสนับสนุนในการเติมความรู้ด้านการสร้างอาชีพเดิม เสริมอาชีพใหม่ ความรู้ด้านการเงิน เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้แก่เกษตรกร สร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร จนสามารถส่งมอบผลผลิตที่มีคุณภาพที่ตรงกับความต้องการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งออกจำหน่ายไปยังตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจากการร่วมมือครั้งนี้จะมีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดกว่า 229,550 ตัน
สำหรับผลการดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต 2564/65 ที่ผ่านมา มีสหกรณ์ที่มีผลการรวบรวมผลผลิตทางการเกษตร จำนวน 7 แห่ง ผลการรวบรวมทั้งสิ้น 152,000 ตัน มูลค่า 719 ล้านบาท แบ่งเป็น การรวบรวมข้าวเปลือก จำนวน 88,900 ตัน มูลค่า 553 ล้านบาท และมันสำปะหลัง จำนวน 63,100 ตัน มูลค่า 166 ล้านบาท และมีการมอบเงินช่วยเหลือค่าขนส่งให้แก่สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรผู้ปลูกข้าว และมันสำปะหลัง จำนวน 2,262 ราย เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2.38 ล้านบาท ถือเป็นการการสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกสหกรณ์และเกษตรกร ในการร่วมทำธุรกิจกับสหกรณ์ ทำให้สหกรณ์มีผลกำไรจากการดำเนินงาน และสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สำนักงาน ธ.ก.ส. จังหวัดกำแพงเพชร ยังมีการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลผ่านโครงการประกันรายได้ในพืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ยางพาราและปาล์มน้ำมัน และโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 ซึ่งมีการจ่ายเงินไปแล้วจำนวน 2,323 ล้านบาทและมีเกษตรกรได้รับประโยชน์กว่า 58,920 ราย และ ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน วงเงินรวมกว่า 1,198 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ได้แก่ สินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนและลงทุนในการประกอบอาชีพ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี สินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุน เพื่อสนับสนุนการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้และลดต้นทุนในกระบวนการผลิต อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 ต่อปี สินเชื่อเสริมแกร่ง SME เกษตร สำหรับลูกค้าเกษตรหัวขบวนได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี และสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย ที่เน้นสนับสนุนสหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านและกลุ่มเกษตรกรในการขับเคลื่อนชุมชนให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อต่อยอดธุรกิจ สร้างรายได้ ยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ่านการแปรรูปผลผลิต อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี และมุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการ SME เกษตรหัวขบวนและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Smart Farmer) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันภาคเกษตรไทยไปสู่ตลาดสากล